คาลิล ยิบราน
คำคม
[แก้ไข]เธอทำงานก็เพื่อจะก้าวไปพร้อมกับพื้นพิภพ และวิญญาณแห่งพื้นพิภพ เพราะการที่จะเกียจคร้านอยู่นั้น ก็คือการทำตนเป็นผู้แปลกหน้าต่อฤดูกาลทั้งหลาย และคือการก้าวออกไปจากขบวนแถวของชีวิต ซึ่งกำลังดำเนินอย่างสง่าผ่าเผยและภาคภูมิไปสู่อนันตภาวะ เมื่อเธอทำงานนั้น เธอคือขลุ่ยซึ่งเสียงกระซิบแห่งโมงยาม ผ่านดวงใจของเธอแปรเป็นดนตรี เธอคนใดบ้างอยากเป็นไม้อ้อ ใบ้และเงียบ ในขณะเมื่อสรรพสิ่งร่วมร้องเริงกันเป็นเสียงเดียว เธอมักจะได้รับบอกเล่าบ่อย ๆ ว่า การทำงานคือคำสาปแช่ง และการงานคือโชคร้าย แต่เราขอบอกแก่เธอว่า เมื่อเธอทำงานนั้น เธอได้ยังความฝันอันไกลยิ่งของโลก ให้สมบูรณ์ในส่วนที่ได้จัดไว้เฉพาะเธอ ในเมื่อความฝันนั้นอุบัติขึ้น และในการประกอบการงานนั้น ก็คือการที่เธอรักชีวิตอย่างแท้จริง และการรักชีวิตโดยทางการงานนั้น ก็คือการเข้าถึงความลับอันล้าลึกที่สุดของชีวิต แต่ถ้าในความเจ็บปวดทรมาน เธอกล่าวว่า การเกิดคือความทุกข์
และการดำรงเลี้ยงกายคือคำสาปอันจารึกบนคิ้ว เราก็ขอตอบว่า ไม่มีสิ่งอื่นใด นอกจากหยาดเหงื่อบนคิ้วนี้เท่านั้น ที่จะลบรอยจารึกให้สิ้นไปได้ เธอได้รับคำบอกมาด้วยว่า ชีวิตคือความมืด และในความเหนื่อยอ่อนของเธอนั้น เธอได้กล่าวสะท้อนคำกล่าวของผู้เหนื่อยอ่อนทั้งหลาย และเราก็ขอบอกว่า ชีวิตคือความมืดแน่แท้ เว้นเสียแต่เมื่อมีความมุ่งมาด และความมุ่งมาดนั้นก็จะยังมืดบอด ถ้าหากไร้ปัญญา และปัญญาทั้งหลายก็คงจะเปล่าประโยชน์ ถ้าหากไม่มีการงาน และการงานก็จะว่างเปล่า เมื่อไม่มีความรัก และเมื่อเธอทำงานด้วยความรักนั้น เธอได้โอบตนเองเข้ากับตนเองเข้ากับผู้อื่น และเข้าสู่พระผู้เป็นเจ้าแล้ว ก็การที่จะทำงานด้วยความรักนี้คืออย่างไรเล่า คือการทอผ้าด้วยเส้นด้ายที่ดึงจากดวงใจของเธอ ราวกับว่าผืนผ้านั้นจะเป็นเครื่องนุ่งห่มของคนรักของเธอ คือการสร้างบ้านขึ้นด้วยดวงใจเอิบอิ่มในความรัก ประหนึ่งว่าเธอสร้างบ้านนั้นเพื่อคนรักของเธออยู่ เมื่อหว่านเมล็ดพันธุ์ก็ด้วยความละมุนละไม และเก็บเกี่ยวผลอันผุดขึ้นด้วยความปราโมทย์
ดุจดังว่าที่รักของเธอจะเป็นผู้บริโภคผลนั้น ๆ คือการอาบรด ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอจับทำ ด้วยลมหายใจจากวิญญาณของเธอ และด้วยรู้อยู่ว่าท่านผู้ทรงคุณธรรมทั้งหลายผู้จากไปแล้ว ยังยืนเคียงข้างและเฝ้าดูการงานของเธออยู่ บ่อยครั้งที่เราได้ยินเธอพูดดังเพ้อฝันว่า นายช่างผู้แกะสลักหินอ่อน และประจักษ์รูปร่างวิญญาณของตนเองในหินผานั้น สูงศักดิ์กว่าชาวนาผู้คราดไถแผ่นดิน และผู้ที่คว้าจับเอาสีสันแห่งสายรุ้ง วางวางระบายบนผืนผ้าใบเป็นรูปร่างแบบมนุษย์นั้น วิเศษกว่าช่างรองเท้า แต่เราขอกล่าวว่า มิใช่ในความหลับหลง แต่ในความตื่นเต็มที่แห่งกลางเที่ยงนี้ว่า สายลมนั้นมิได้กระซิบแก่ต้นกร่างใหญ่ ไพเราะไปกว่าแก่ใบหญ้าเล็กที่สุดเลย และผู้ใดก็ตามที่แปรเสียงแห่งกระแสลม เป็นทำนองเพลงอันหวานล้าด้วยความรักของตนเอง ผู้นั้นนับว่ายิ่งใหญ่โดยแท้ การงานคือความรักปรากฏตนเป็นรูปร่าง และถ้าเธอไม่อาจประกอบการงานได้โดยมีความรัก แต่ด้วยความจำใจเบื่อหน่าย เธอก็ควรวางมือ และไปนั่งตามประตูโบสถ์ ขอทานท่านผู้ทำงานด้วยความชื่นชมจะดีกว่า เพราะถ้าเธอปิ้งขนมอย่างไม่แยแส
เธอก็จะได้ขนมอันมีรสขม และบรรเทาความหิวโหยของมนุษย์ได้เพียงครึ่งเดียว และถ้าเธอบ่นขณะบีบองุ่น การบ่นของเธอคือยาพิษซึ่งซาบซึมลงในน้าองุ่นนั้น และถึงแม้เธอจะร้องเพลงได้ด้วยเสียงดุจเทพธิดา แต่ถ้าเธอมิได้รักการร้องเพลงนั้นแล้ว เธอจะทำให้หูของมนุษย์หนวกต่อสาเนียงของวันและคืน
การแต่งงาน
เธอเกิดมาด้วยกัน และเธอก็จะอยู่ด้วยกันตลอดไป เธอจะอยู่ด้วยกันแม้เมื่อปีกขาวของความตาย ปัดกวาดวันคืนของเธอให้กระจัดกระจายไป ถูกแล้วเธอจะอยู่ด้วยกัน แม้ในความทรงจำอันสงัดของพระเป็นเจ้า แต่ขอให้มีช่องว่างในการอยู่ด้วยกันของเธอ และขอให้กระแสลมแห่งสวรรค์โบกโบยไปมาระหว่างเธอ จงรักกันและกัน แต่อย่าสร้างพันธะแห่งรัก และขอให้ความรักนั้น เป็นเสมือนห้วงสมุทร อันเคลื่อนไหวอยู่ระหว่างฝั่งแห่งวิญญาณของเธอทั้งสอง จงเติมถ้วยของกันและกัน แต่อย่าดื่มจากถ้วยเดียวกัน จงให้ขนมปังแก่กัน แต่อย่ากัดกินจากก้อนเดียวกัน จงร้องและเริงราด้วยกัน และจงมีความบันเทิง แต่ขอให้แต่ละคนได้มีโอกาสอยู่โดดเดี่ยว ดังเช่นสายพิณนั้น ต่างอยู่โดดเดี่ยว แต่ว่าสั่นสะเทือนด้วยทำนองดนตรีเดียวกัน จงมอบดวงใจ แต่มิใช่ต่ออีกฝ่ายหนึ่ง
เพราะหัตถ์แห่งชีวิตอมตะเท่านั้นที่จะรับดวงใจของเธอไว้ได้ และจงยืนอยู่ด้วยกัน แต่อย่าใกล้กันนัก เพราะว่าเสาของวิหารนั้นก็ยืนอยู่ห่างกัน และต้นโพธิ์ ต้นไทรก็ไม่อาจเติบโตใต้ร่มเงาของกันได้