ความสุขของกะทิ

จาก วิกิคำคม

ความสุขของกะทิ เป็นนวนิยายเกี่ยวกับกะทิ เด็กหญิงที่อาศัยอยู่กับตาและยายอย่างมีความสุข โดยไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพ่อแม่ของเธอเลย จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อเธอทราบว่าแม่ของเธอ กำลังป่วยเป็นโรคร้ายแรงระยะสุดท้าย ทำให้เธอได้พบกับความโศกเศร้าเป็นครั้งแรก และเรื่องราวที่ตามมานั้นได้หล่อหลอมให้เธอโตขึ้น โดยล้อมรอบไปด้วยคนรอบข้างที่เธอรัก และดูแลเธออย่างอบอุ่น

ความสุขของกะทิ[แก้ไข]

  • ยิ้มของพี่ทองเหมือนโรคติดต่อ ยิ้มที่ส่งมาจากหัวใจระรื่น ต่อสายตรงถึงปากและแววตา แผ่รัศมีเป็นคลื่นรอบๆ เหมือนเวลาโยนก้อนหินลงน้ำ จนคนรอบข้างรู้สึกได้
  • เรือย่อมมุ่งหน้าไปอย่างไม่ถึงจุดหมายไม่ได้ แม้การเดินทางจะชวนหฤหรรษ์เพียงใดก็ตาม
  • สีหน้าของตาขณะมองมาที่กะทิดูเหนื่อยล้าและโรยแรง ไม่ต่างจากศาลาริมน้ำหลังนี้ ที่ผ่านแดด ผ่านฝน ผ่านโลกมานานจนทุกอณูเนื้อไม้อาบอิ่มด้วยอดีต และไม่ปรารถนาใดในอนาคตอีกแล้ว
  • พระจันทร์ดวงโตเปล่งรัศมีอวดความงามอยู่กลางฟ้า เห็นกระต่ายในดวงจันทร์ชัดถนัดตา สามชีวิตบนระเบียงชมจันทร์ราวถูกสะกด ตาพูดลอย ๆ ว่า อยู่ที่ไหนก็ดูพระจันทร์ดวงเดียวกัน กะทิรู้ได้เองว่า ตาหมายถึงใครคนหนึ่งกำลังมองดูดวงจันทร์บนฟ้าอยู่ตอนนี้เหมือนกัน ใครคนที่หัวใจของกะทิร่ำร้องเรียกหาอยู่ทุกลมหายใจ
  • ไม่ต่างกันตรงไหนที่แม่กอดกะทิหรือกะทิกอดแม่ น้ำตาจากความดีใจไหลรินรวมกัน กะทิกางแขนกอดแม่อย่างที่ฝันไว้ กอดแม่แทนคำว่ารักจากใจ แทนคำว่าเข้าใจที่ต้องแยกห่างกัน แทนคำว่าคิดถึง นานเท่าไหร่ไม่รู้กว่ากะทิจะปล่อยแขนจากแม่
  • น้ากันต์ถามลอย ๆ ว่าวิ่งแข่งกันไหม พร้อมกับต่อให้กะทิถึงแนวต้นสนข้างหน้า ใครถึงหน้าโรงแรมก่อนชนะ ไม่ต้องรอให้ถามซ้ำ กะทิก็ออกวิ่งแล้ว สายลมปนไอร้อนที่ลอยขึ้นจากพื้นทรายกระทบใบหน้า กะทิวิ่งเร็วขึ้นเรื่อย ๆ วิ่งไปให้ถึงขอบฟ้า เท้าสัมผัสทรายเนื้อละเอียดอย่างที่แม่ทำไม่ได้...อย่างที่แม่เคยทำได้ สองมือกำเข้าหากัน ขยับขึ้นลงตามจังหวะการวิ่งอย่างที่แม่ทำไม่ได้...อย่างที่แม่เคยทำได้ กะทิยกมือปาดน้ำตา กิริยาง่าย ๆ แบบนี้แม่ก็ทำไม่ได้...ทั้ง ๆ ที่เคยทำได้ กะทิเห็นประตูโรงแรมแวบผ่านปลายตา แต่ขาเหมือนหยุดไม่ได้ กะทิยังคงทะยานไปข้างหน้า และภาวนาให้หาดทรายทอดยาวอย่ารู้จบ
  • แม่เลือกที่จะไม่เจาะคอใส่เครื่องช่วยหายใจเพื่อยืดอายุ เพราะจะทำให้แม่พูดไม่ได้ แม่เลือกที่จะลดเวลาชีวิตของตัวเองลง แต่พูดได้จนนาทีสุดท้าย กะทินึกถึงนิทานเรื่องเงือกน้อยที่ยอมตัดลิ้นเพื่อเปลี่ยนหางให้เป็นขา แล้วไปตามหาเจ้าชายคนรัก แม่คงไม่มีความรักให้ต้องติดตามหาแล้ว
  • อดีตเหมือนเงา บางครั้งทอดนำทางอนาคต (ประโยคนำบท)
  • ดวงจันทร์เหลือเพียงเสี้ยวเล็ก ๆ อยู่กลางฟ้า เงาต้นสนริมรั้วลู่เอนตามแรงลมน้อย ๆ นาทีเหมือนหยุดนิ่ง นิ่งจนกว่าดวงตะวันจะขึ้นอีกครั้งอย่างสดชื่นสวยงามพ้นจากขอบฟ้าเหนือทะเล ปลุกทุกสรรพชีวิตบนโลกให้ตื่นขึ้น แต่ไม่มีแม่รวมอยู่ด้วยอีกต่อไป
  • กะทินึกไม่ออกจริง ๆ ว่าอะไรทำให้คนสองคนตัดสินใจอยู่ด้วยกัน และอะไรทำให้ตัดสินใจแยกทางจากกัน
  • "คนบางคนวิ่งไล่ตามความฝันไปเรื่อย ๆ จนไม่รู้จริง ๆ ว่า ความฝันที่ว่าอยู่ใกล้ตัวนี่เอง"
    • คุณตา
  • คิดถึงแม่จัง แม่คงเคยจ้องมองเงาตัวเองในกระจกบานนี้มานับครั้งไม่ถ้วน กะทิเชื่อว่านับครั้งไม่ถ้วนเช่นกันที่ภาพเงาจากอดีตจะผุดขึ้นต่อหน้าให้แม่ได้เห็น เพียงแต่กะทิไม่รู้เลยว่าแม่รู้สึกอย่างไรกับอดีต โหยหาอาลัย ขุ่นใจ หวนไห้อาดูร กะทิอยากมีมนตร์วิเศษถามกระจกว่า "กระจกวิเศษบอกข้าที แม่มีชีวิตอยู่ได้อย่างไรเมื่อสูญเสียความรักไปครั้งนั้น"
  • ความสุขของคนรอบข้าง คือความสุขของเราด้วย (ประโยคนำบท)
  • จักรวาลนี้กว้างใหญ่นัก มนุษย์ตัวจ้อยจะมีอำนาจอะไร เพียงแหงนมองฟ้าก็ดูจะปลดศักดาและความมุ่งหวังเกินตัวให้หมดสิ้นไปได้ในบัดดล เหลือเพียงหัวใจดวงเล็ก ๆ ในอกที่เต้นอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวและใฝ่หาความสุขตามอัตภาพ ไม่ต้องการสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้ ไม่ต้องการสิ่งใดที่อยู่ไกลตัว
  • ครั้งหนึ่งแม่บอกว่าคนเราก็ไม่ต่างจากตัวละครในหนังสือ ที่ต้องเผชิญกับเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิต และเมื่อผ่านพ้นมาได้ก็จะมีความลุ่มลึกในเนื้ออารมณ์ เป็นคนเต็มคนมากขึ้น และมองทุกอย่างเปลี่ยนไป แม่ชอบใช้ "คำใหญ่" กับกะทิ ฟังดูดี แม้จะเข้าใจยาก แต่ ณ นาทีนี้ กะทิรู้สึกจริง ๆ ว่าตัวเอง "โต" ขึ้น
  • กะทิรู้สึกว่าบรรยากาศในบ้านไม่ถึงกับหมองเศร้าจนชวนหดหู่ แม้จะมีรอยอาลัยจาง ๆ ในแววตาของตาและยาย แต่ความเจ็บปวดและความหวาดกลัวในสิ่งที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าจะต้องเกิดขึ้นอย่างหลีกหนีไม่ได้นั้นหายไปแล้ว จริงอย่างที่ตาพูด มองไปข้างหน้าดูจะดูดีที่สุด"

ตามหาพระจันทร์[แก้ไข]

  • ตาบอกว่าความโศกเศร้าเป็นเรื่องธรรมดา ขอเพียงเรารู้จักจัดหาที่ทางให้มันอยู่ในชีวิตของเราให้เรียบร้อย กะทิจึงมักนึกวาดภาพตัวเองพับเก็บความเศร้าใส่ลงในกล่องใบเล็ก ๆ แม้จะรู้ว่า ถึงไม่เปิดกล่อง แต่บางทีของข้างในก็แสดงตัวออกมาได้เอง
  • กะทิพอเข้าใจว่าในหัวใจของทุกดวงย่อมมีความหลังความรู้สึกเล็ก ๆ น้อย ๆ จากวันวาน ที่ยามใดหวนระลึกถึงก็พาให้รู้สึกทั้งสุขทั้งเศร้า แต่ก็เป็นความรู้สึกแสนดีอยู่นั่นเอง
  • คงอีกนานกว่ากะทิจะเข้าใจว่า ทำไมจึงแสนดีนักหนา ยามสองคนรักกัน แสนดีถึงขนาดไม่ต้องหาเหตุผลอะไรมาอธิบาย เพราะความรู้สึกนี้ช่างแสนดีจนเหลือพอแล้ว
  • เวลาเป็นของสมมุติที่มนุษย์คิดขึ้นมาเพื่อวัดระยะเวลาที่ผ่านไปตามความเป็นจริง แต่ความรู้สึกสุขทุกข์ของเราต่างหากที่เป็นตัววัดว่าเวลาผ่านไปช้าหรือเร็วแค่ไหน
  • มีแต่ใจที่มีรอยแผลเหมือนกันเท่านั้นจึงจะปลอบประโลมกันและกันได้
  • บทสนทนาและความเงียบที่ได้สื่อสารกัน หล่อหลอมหัวใจสองดวงให้เกิดสายใยเส้นบาง ๆ ร้อยรัดผูกเชื่อมสู่กัน ครูราตรีเล่าความในใจที่ไม่เคยเผยให้ใครฟังมาก่อน คนแปลกหน้าที่น่าจะเป็นเพียงคนรู้จักผิวเผิน กลับกลายเป็นคนมีที่ทางพิเศษในชีวิต
  • แม่เคยพูดว่า คนเราต้องเคารพเหตุผลของคนอื่น แม่ฝากกะทิไว้กับตายายก็เพราะว่ามีเหตุผลจำเป็นจริง ๆ และกะทิก็เข้าใจ แม้จะมีบางวันที่กะทินึกเสียดายว่าไม่ได้ใช้เวลาอยู่กับแม่ตลอดเวลาที่แม่ป่วย ความคิดถึงห้ามกันไม่ได้ แต่เหตุผลก็ช่วยให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางอย่างที่ควรจะเป็น
  • บ่อยครั้งที่กะทิเข้าไปในห้องพระ และอดไม่ได้ที่จะจ้องมองโถใบเล็กที่วางอยู่ข้างโต๊ะหมู่บูชา กะทินึกไม่ออกเลยว่า ในท้ายที่สุดร่ายกายมนุษย์จะเหลือเพียงเถ้าธุลีเพียงหยิบมือเดียวได้อย่างไร แม่ของกะทิเหลือเพียงความทรงจำ และอัฐิในโถใบน้อยนี้ ไม่มีไออุ่น ไม่มีกลิ่นละมุน ไม่มีเสียงพูดปลอบประโลมใจ จู่ ๆ กะทิรู้สึกว้าเหว่และคิดถึงแม่เหลือเกิน
  • กะทิถ่ายภาพเหตุการณ์ไล่เรื่อยไปอย่างไม่ใส่ใจ ปล่อยให้สิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์เก็บไว้ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยไม่จำเป็นต้องเหลือรอยประทับใด ๆ ในความทรงจำ
  • ความรู้สึกผิดเป็นเหมือนยาพิษสีดำที่ซึมซ่านไปทุกอณูเนื้อของหัวใจและแผ่กระจายไปทั่วร่างกาย
  • คลองทอดยาวท่ามกลางหมู่ไม้ ลมพัดโชยมาช่วยคลายร้อน บรรยากาศรอบตัวดูไม่สดใสเหมือนเคย อารมณ์ในใจคนเรานี่เองที่กำหนดให้สภาพรอบตัวสวยงามหรือไม่
  • "น้าเคยเข้าใจนะว่าเมื่อเวลาผ่านไป ความโศกเศร้าก็น่าจะลดลง ไหนใครบอกว่าเวลาช่วยรักษาทุกสิ่ง ไม่จริงหรอกค่ะ ความเศร้าไม่ได้ลดน้อยลงเหมือนนับถอยหลังหรอก ถ้าเป็นเส้นกราฟ ก็เป็นเส้นหยักขึ้น ๆ ลง ๆ"
    • น้าฎา
  • [ก่อนหน้านี้กล่าวถึงลูกชุบ] น่าแปลกที่การปั้น ชุบ ย้อมสี กลับเป็นสิ่งที่ผู้คนเห็นว่าสวยงาม หากว่าเนื้อแท้มีค่าแล้วก็ไม่น่าจะต้องการการปรุงแต่งใด ๆ มิใช่หรือ
  • ชีวิตที่ผ่านมาสอนแม่อย่างหนึ่ง ความรักทำให้แต่ละชีวิตมีรายละเอียดไม่ซ้ำกัน ความรักเหมือนลูกไม้ลายสวยที่สอดใส่เข้ามาในเนื้อชีวิต ไม่มีใครรู้ว่าความรักจะมาถึงตัวตอนไหน ในรูปแบบไหน และจะลงเอยอย่างไร
  • "บางทีคนเราก็ไม่รู้ตัวหรอกนะคะว่าทำให้ใครสักคนเสียใจแค่ไหน โดยเฉพาะใครคนนั้นรักเรามากเหลือเกิน แม่รักพ่อของหนูทุกนาทีที่อยู่ด้วยกัน แม่ตั้งใจไว้ตั้งแต่ตัดสินใจมอบหัวใจให้คนคนนี้แล้วว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต แม่จะไม่ยอมเสียใจว่าเป็นเพราะแม่รักพ่อน้อยเกินไป แม่ไม่สงสัยว่าพ่อรักแม่เท่าที่แม่รักพ่อหรือเปล่า แล้วก็ไม่เรียกร้องต้องการให้ได้รักตอบสนองกลับมาเท่า ๆ กับที่มอบให้ไป แม่ไม่ชอบนั่งชั่งตวงวัด ความรักคงไม่มีหน่วยวัดได้อยู่ดี จริงไหมคะ แม่คิดว่าตัวเองทำได้ตามที่ตั้งใจไว้ แม้ว่าจะมีบางวันที่แม่รู้สึกว่ามีเงาจาง ๆ กั้นกลางระหว่างเราสองคน"
  • กะทิชอบกินไข่หวานมากก็จริง แต่ก็ไม่แน่ใจหรอกว่าถ้าต้องกินติดต่อกันนาน ๆ กะทิจะยังปลาบปลื้มไข่หวานได้มากเท่าเดิมหรือเปล่า รักหวาน ๆ ของพ่อกับแม่จะชวนให้รู้สึกเบื่อไหมเมื่อเวลาผ่านไป
  • "แม่ไม่เคยเป็นคู่ต่อสู้ของใครในสนามชีวิตมาก่อน แม่อาจทวงสิทธิตามกฎหมายให้ใครต่อใครในชีวิตทำงาน แต่เมื่อเป็นเรื่องของหัวใจ แม่ไม่เคยคิดว่าการทวงสิทธิจะทำให้ได้ของรักคืนมา"
  • "แม่เองก็ไม่อยากร่วมชีวิตกับใครที่ไม่มีรักให้ ถ้ารักของแม่ไม่ทำให้แม่ได้รักตอบกลับมา แม่ก็ไม่มีอะไรมากกว่านั้นจะเสนอให้ได้ แม่เริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยหัวใจบอบช้ำก็จริง แต่ก็คิดว่าจะใช้ชีวิตที่เหลืออย่างมีคุณค่าได้ไม่ยาก แม่ไม่ประชดชีวิต ไม่โทษใคร ข้อสำคัญ แม่มีหนูอยู่ทั้งคน แม่ยังจะต้องการอะไรอีก จริงไหมคะ"
  • "ยายสอนแม่บ่อย ๆ ว่า ความรักเป็นของสวยงามต้องทะนุถนอมด้วยใจ ไม่มีใครมีสิทธิพิเศษที่จะทำลายหัวใจรักของใครทั้งนั้น มีวิธีการมากมายที่จะทำให้เรื่องจบลงอย่างสวยงาม"
  • "คนเราคุยกันอยู่สามระดับนะ" กะทิได้ยินตาคุยกับลุงตอง น้าฎา และน้ากันต์ในค่ำวันหนึ่งที่มาพร้อมหน้ากันที่บ้านริมคลองอีกครั้ง
    "ระดับแรกก็เรื่องคน สูงขึ้นมาก็เหตุการณ์ สุดยอดก็เรื่องความคิด วันนี้เราจะคุยกันเรื่องไหนดีล่ะ" ตาตบท้ายขำ ๆ
    "พรุ่งนี้ หนูขอไปงานเปิดห้องสมุดได้ไหมคะ"
    เสียงดังขึ้นพร้อมกันว่า "เหตุการณ์" เท่ากับว่าปัญญาของกะทิอยู่ระดับสองละมัง ผู้ใหญ่ชอบเล่นอะไรให้เข้าใจยาก กะทิคิด พลางเพ่งความสนใจไปที่ไข่พะโล้ของโปรดในจาน